สมเด็จองค์ปฐม

1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระตัณหังกรพุทธเจ้า


พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้เป็นพระองค์ที่ ๑ ใน “สารมัณฑกัป”( กัปแรก )


“สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ ๑ เรียกว่า “องค์ปฐม”

สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง

ในสารมัณฑกัป พระโพธิสัตว์พระนามว่า “ ตัณหังกร” ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑

พระเจ้าอานันทะแห่งพระนครปุปผวดี เป็นพระพุทธบิดา พระนางสุนันทาเทวี พระอัครมเหสีเป็นพระพุทธมารดา

ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี

พระองค์ได้ทรงสร้างสมพระบารมีมาเป็นเวลา ๑๖ อสงไขย ๑๐๐.๐๐๐ มหากัป

พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ( เสด็จออกผนวช )

ทรงใช้เวลาในการบำเพ็ญเพียรอยู่เพียง ๗ วัน

ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ โคนต้นพญาสัตตบรรณ ( ต้นตีนเป็ดขาว )

และเมื่อพระพุทธเจ้าตัณหังกรได้ทรงกระทำพุทธกิจตลอดพระชนมายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปีของพระองค์แล้ว พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา ได้ทรงบำเพ็ญมหาทานไว้ในศาสนาของ พระพุทธเจ้าตัณหังกรพระองค์นี้เป็นอันมาก แต่ก็มิได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าตัณหังกรว่า “ พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ” เนื่องด้วยในเวลานั้น ธรรมสโมธานทั้ง ๘ ประการ ของพระพุทธเจ้าของพวกเรา ยังไม่ถึงความบริบูรณ์

สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี : ประวัติสมเด็จองค์ปฐม
                  " ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยางเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน "

               หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง

              ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัย ประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง

(จาก ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม)  
คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (1)

              " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสียอย่าเพลิดเพลินเกินไปอย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใดความป่วยไม่มีความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญ วาสนาบารมี ถ้าหมดบุญ วาสนาบารมี ก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่าน ยังมีบาปติด ตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "

(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ใน หนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์ สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดจงอย่าลืมว่า ทุกท่านมีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรก ไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้อง พุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรม คือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคน ก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่นนิพพาน "

(ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้ากับ พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

              " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียวและการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมี ความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความว่าจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณา ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลาย ควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม "
(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

" ฤาษี เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "
(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็น เทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงจะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิด เป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายในแต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมา ทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน "
(ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

" จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้นและบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่าเกิด ดินแดนไหน ที่มีความสุข ไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์และก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่น ทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหม มาแล้วแต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่าดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด... "
(เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ พระองค์ก็จบ)

(คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน)

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (2)
" เวลาที่พระสงฆ์จะสอนพุทธศาสนิกชนควรสอนง่าย ๆ แบบนี้

1.จัดสถานที่ เอาพระพุทธรูป หรือ ถ้าวัดมีพระประธานก็ประดับเครื่องบูชาและไฟฟ้าให้สวยงาม เพื่อให้ประชาชนประทับใจจำภาพพระพุทธรูปได้ง่าย เป็นอารมณ์พุทธานุสสติกรรมฐาน

2. ทำพิธีบวงสรวง อัญเชิญพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้หมด เทพเทวดาทั้งหมดมาเป็นประธาน

3. อธิบายให้พวกชาวพุทธคิดตามความเป็นจริง เป็นวิปัสสนาญาณว่าง่าย ๆ อย่างนี้ ว่า ร่างกายมีความแก่ ความเจ็บ ความหิว ความไม่สบาย ความตายเข้ามาหาตลอดเวลา มีความสกปรกความเหม็นน่ารังเกียจ ตั้งแต่หัวถึงเท้าและร่างกายก็ไม่ใช่ของจิตเรา จิตเรานี้มาอาศัยกายซึ่งเป็นของสมมติเพียงชั่วคราว ดังนั้นจิตก็ไม่ใช่ของร่างกาย จิตเป็นของจริง กายเป็นของปลอม มีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนประกอบ มีความคิด ความจำ ระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเวทนาอารมณ์สุข ๆ ทุกข์เป็นของกาย สูญหายสลายไปพร้อมกับกาย จะเหลือแต่จิตเท่านั้น

4. ทำจิตให้เกาะพระนิพพานตั้งใจว่า ตายแล้วเราจะไปพระนิพพานประมาณ 3 นาที ใจของพุทธศาสนิกชนจะเกาะติดนิพพานอย่างไม่รู้ตัว

5. ถ้าจิตระลึกถึงพระนิพพาน ระลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า ร่างกายตายแน่นอนทุกวันอย่างนี้ พอถึงเวลาตายจริง ๆ จิตก็จะไปอยู่ตามที่จิตตั้งใจระลึกถึงด้วยความเคารพทุกวัน ทำแบบนี้ทุกคนก็ไปนิพพานได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไปบูชาพระนอก ทำจิตใจให้สะอาดเป็นพระในแบบนี้ดีกว่า เป็นการพึ่งตนเองดีที่สุด ก่อนตายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาให้เห็น พระองค์ทุกคน ถ้าระลึกถึงพระองค์ท่านด้วยใจจริง

              การฝึกกรรมฐานแบบมโนมยิทธิให้ผู้อื่นนั้น การช่วยสอนคนอื่นเป็นบุญบารมีสูง เป็นธรรมทาน ครูผู้สอนจะต้องรู้วิชาที่จะสอนเขาจริง ๆ ให้ฝึกตัวเองกำหนดจิตไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลาให้สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว รวบรวมกำลังใจ ดูพรหมวิหาร 4 ของเราว่ามีเมตตา กรุณา จริงใจหรือไม่ หรืออยากให้เขาสักการะ สอนแล้วเขายังไม่ได้ เสียใจหรือไม่ สอนแล้วศิษย์เก่งกว่าครู เราอิจฉาหรือไม่ได้วางใจเป็นอุเบกขา เป็นอารมณ์สมาธิ เป็นกำลัง ญาณที่จะทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้รับทราบจากจิตจริงแท้

ขอให้สังวรกันว่า เรายังเรียนรู้เรื่องนี้น้อยมาก อย่าไปวิจารณ์คนนั้นใช่ ไม่ใช่ จงทำไปตามอาจารย์ท่านสอนเป็นวิธีลัดที่จะพิสูจน์ให้คนได้รู้เห็นสภาพของทิพย์ที่เป็นจริง

จำไว้ประการหนึ่ง ถ้าเหตุที่พึงเกิดกับตัวแล้วยังไม่เชื่อมั่น แคลงใจในมโนมยิทธินี้ เป็นผู้สอนไปแล้วไร้ประโยชน์ เพราะไม่เชื่อในผลปฏิบัติของตน แล้วไฉนเขาจะเชื่อผู้อื่น

ฝึกมโนมยิทธิ ฝึกถอดจิตฝากไว้กับองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เอาจิตเบื้องบนมองดูโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม น่าอยู่หรือไม่ไม่ ดูทุกสิ่งทั้ง 3 โลก สุดท้ายก็สูญสลาย ว่างเปล่าไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรย่ายึดติด เป็นวิธีทำง่าย ๆ แบบนี้ เป็นแบบพุทธจริต ทำจิตเป็นพุทธะ จิตแยกจากกายได้จริง รวมจิตเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เจ้าทำได้ก็เป็นสิ่งวิเศษสุดแล้ว "

(รวบรวมโดย เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ)

สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
" สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ

2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทราแท้ (ด้วยความจริงใจ)

3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ

4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด "

(หมายเหตุ : เทศน์ที่ " เทวสภา " วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.)

อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

หลวงพ่อ : ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกัน เขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์อย่างไร ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) "บัญชีทอง" เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้ โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่สร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก….หรือไง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเงินมากนะคือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอารีย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรกก็คุยกัน แล้วท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช้ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ที่นี้อย่างคนมีเงินน้อยๆใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บากสองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน

หลวงพ่อ : ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

ผู้ถาม : หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ๆๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…..เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน

(จาก หนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม และคำสอนสมเด็จองค์ปฐม)

คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม

นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง

สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม

คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม

สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา

นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง

ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ

คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

3. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

5. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ 8 กรรมฐาน คือ

1) พุทธานุสสติกรรมฐาน

2) ธรรมนุสสติกรรมฐาน

3) สังฆานุสสติกรรมฐาน

4) พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

5) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน

6. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ

7. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก จงทำทุก ๆ วันละอย่างน้อยสวด 9 จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย

8. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้ พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวัน เพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ 4 อย่างนี้ เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น

9. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง 3 โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ 5 ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่าง ขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโมทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไปให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีใหญ่ ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ 3 โลก ได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไปให้กับเขา ก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ 5 ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล

10. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง 3 ไตรภพ แล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด 4 คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูต เกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี 6 คือ

1) สัตว์นรก

2) เปรต

3) อสุรกาย

4) สัตว์เดรัจฉาน

5) คน

6) เทวดา พรหม

โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใด ถึงพร้อมย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิ คือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะ กฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงาน เป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทัน เพราะบุญใหญ่ เวลาการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านก็แตกต่างกันคือ พระสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 1 อสงไขยกับแสนกัป พระอัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 4 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 8 อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 16 อสงไขยกับแสนกัป

(คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงค์การสวดคาถาแผ่เมตตานี้ได้มาจากท่านพระยายมราช)

หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ได้เคยเล่าเรื่องสมเด็จองค์ปฐมไว้มาก พร้อมกับให้ดูลักษณะพระบรมธาตุของสมเด็จองค์ปฐมที่เสด็จมาที่ท่านเพื่อประโยชน์แก่ศิษย์ ท่านว่ากว่าจะสำเร็จจนมาบัญญัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงลำบากที่สุด บำเพ็ญนานที่สุด เพราะไม่มีแบบอย่างให้ดู จนทรงรู้แน่ชัดและรวบรวมเป็นพระสูตรต่างๆ ทุกแขนง จึงจะมาเริ่มบำเพ็ญตามที่ทรงค้นพบเส้นทาง พร้อมฝึกสาวก สาวิกา ให้ร่วมกันบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น จึงถือว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้นตระกูลของพระพุทธะ เป็นปฐมบรมครูที่ฝึกคนเพื่อนำพระธรรม เพื่อความสงบสุขของโลก และยังต้องสั่งสอนผู้ที่จะมาสืบทอดพุทธวงศ์และพระธรรมให้คงไว้ในโลกสืบมาจนถึงปัจจุบัน







หลวงปู่ขันตยาภรณ์มีพระบรมธาตุสมเด็จองค์ปฐมหลายองค์ และท่านก็ยังไม่เปิดเผยเพราะท่านว่ายังไม่ถึงเวลา ผู้ที่เชื่อยังมีน้อย หากคนตำหนิจะเป็นบาปโดยไม่รู้ เพราะคนมีความคิดมาก ทะเลาะกันก็เพราะความคิดที่เป็นทิฏฐิเป็นต้นเหตุ ท่านจึงเล่าแก่ผู้ที่สนใจจริงๆ และเป็นผู้ที่มีวิสัยในพุทธจริต ศรัทธาจริตสูง ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มพุทธภูมิที่ยังต้องบำเพ็ญบารมียาวนาน เพื่อเป็นกำลังในการดำรงสืบวงศ์แห่งพุทธวงศ์ เมื่อหลังจากงานทำบุญวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก ออกพรรษา ปี ๒๕๔๖ หลวงปู่ได้เล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายปรารถนาพุทธภูมิมากมายจนประมาณมิได้ และต่างต้องบำเพ็ญบารมีมากเหลือเกิน ต้องเหนื่อยกันอีกแสนไกลและลำบากยิ่ง กว่าจะเรียนจบวิชาทุกแขนงเพื่อสำเร็จบารมีแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า การที่มาช่วยงานในพระพุทธศาสนาและงานส่งเสริมพุทธวงศ์ อย่างงานเกี่ยวกับพระบรมธาตุเพื่อเผยแผ่พระรัตนตรัยก็จัดเป็นการกระทำที่ควรสรรเสริญ แต่ก็ต้องพบเจอวาจาคนในสังคมมาก เพราะสังคมยุคนี้ไม่เชื่อพุทธวิสัย คนที่จะทำจึงมีน้อยลงทุกที แต่ใครทำปู่ก็ให้พร ให้ทำได้สำเร็จ เพราะดำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย ต่อไปในอนาคตผู้ที่ดูแลพระพุทธศาสนาจะมาเกิดมากมาย เป็นยุคฟื้นฟูจะมาเผยแผ่เรื่องพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น เพื่อนำธรรมที่พระองค์ให้ไว้คงอยู่กับโลกต่อไป โลกปัจจุบันจึงถูกกรรมตามเร็วขึ้นเมื่อคนมีบุญมาเกิดหมั่นรักษาศีลไว้ จะอยู่ได้และขยันสร้างบุญไว้จะได้คุ้มครองให้พ้นภัย ซึ่งภัยนั้นจะมาจากทุกด้านตั้งแต่ภัยธรรมชาติ จนถึงโรคร้ายแรง ความอดอยากยากแค้น เพราะคนมันทิ้งศีล ทิ้งธรรม เอาวัตถุจิตใจห่างความดี พลังงานที่ออกมาก็มีแต่โลภ โกรธ หลง สูงขึ้นจึงอายุสั้นลงกันทุกที มีแต่พระรัตนตรัยที่จะคุ้มครองได้รีบๆ ทำกรรมดีเข้าไว้จะลำบากน้อยหน่อย ท่านเล่าต่อว่า หลังจากปี ๒๕๔๖ จะเกิดภัยธรรมชาติคนจะตายเยอะ ทั้งทางบก ทางน้ำมารอบด้านและเป็นทั่วโลก ของเมืองเราน้อยที่สุดเพราะมีคนทำบุญ ถือศีลมาก ยิ่งเวลานี้พระบรมธาตุเสด็จมามาก ก็เป็นโอกาสทองของผู้ที่ได้พบเจอ มีความเลื่อมใสในสันดานเดิมอยู่แล้วจึงเกิดความเชื่อโดยไม่ยาก ใครว่าอย่างไรก็ชั่งเขาเราก็พ้นภัย และมีความสุขสงบกว่าคนอื่นก็พอ ของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง และการอยู่กับพระบรมธาตุก็คือ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ถึงธรรมง่ายและให้ได้พบพระอริยสงฆ์ง่ายด้วย



หลวงปู่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญบารมีแบบพุทธภูมิเช่นกัน ท่านจึงมีความรู้ในเรื่องพุทธภูมิมาก ท่านได้เล่าสืบต่อมาให้ศิษย์หลายๆ คนได้ฟังบางคนได้เห็นหลวงปู่แสดงฤทธิ์ เช่น หยุดลมฝนที่กำลังโหมกระหน่ำให้ดู เดินจงกรมโดยเท้าไม่ติดพื้น บางครั้งท่านมองไปที่แก้วน้ำ แก้วน้ำนั้นก็ยกตัวลอยหมุนไปมา แต่หลวงปู่จะอบรมสั่งสอนศิษย์ไม่ให้ติดสิ่งเหล่านี้ ท่านว่าเป็นเรื่องปกติของการเจริญสมาธิตามขั้นต่างๆ ยังเป็นโลกียะอยู่ ยังตกนรกได้ ไม่วิเศษเท่าโลกุตระซึ่งมีความวิเศษยังจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เป็นเลิศสุดแล้ว พระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายท่านสรรเสริญว่าเป็นการกระทำอันเลิศสุดแล้วสมควรเร่งการกระทำ โดยหมั่นรักษาศีลให้ได้เริ่มที่ศีล ๕ นี่แหละ



เวลานี้หลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว และได้มีพิธีสลายธาตุขันธ์ท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้พบเห็นอัฐิธาตุท่านมีลักษณะต่างๆ เช่น มีขนาดเล็กกว่าปกติทั่วไป เหมือนมีการย่อรูปร่าง อย่างกับถ่ายเอกสารย่อมาเลยที่เดียว เป็นอย่างนี้หลายส่วน การงอกและขยายเป็นพระธาตุไวมาก เมื่อนำมาถ่ายภาพจะเห็นว่ามีผิวที่เป็นผลึกแก้วสวยงามแปรเปลี่ยนไว บางองค์เป็นสีเขียวก่ำ เขียวมรกต และเมื่อถ่ายด้วยกล้องที่มีความขยายสูง จะพบว่าภายในมีลักษณะเป็นดวงแก้วใส มีแสงสว่างกลางดวงแก้วอยู่จำนวนมาก ข้อนี้ศิษย์ทั้งหลายให้เหตุผลมามาก เช่น บ้างก็ว่าหลวงปู่สำเร็จวิชาธรรมกายอย่างละเอียด บางรายว่าหลวงปู่เดินสมาธิแบบรัตนะหรือแบบพุทธานุสติ ตามที่ท่านค้นพบด้วยตนเอง บางรายว่าท่านเจริญกรรมฐานได้ทุกส่วนของร่างกาย ทั้งหมดนี้พอจะรวบรวมเท่าที่ได้แต่ที่ยอมรับมากที่สุด โลกุตระในจิตใจท่านหลวงปู่ ด้วยท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีจริยวัตรงดงาม และภูมิธรรมอันสูง ท่านได้ฝึกพระดีคนดีไว้มากต่างก็มีความรู้ความสามารถที่จะออกไปทำประโยชน์ให้แก่สังคมและเผยแผ่พระรัตนตรัยไว้มากมาย



เราทั้งหลายควรพิจารณาดูว่าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ทั้งที่มีการบำเพ็ญบารมีแบบปกติ และแบบบำเพ็ญทางพุทธภูมิ ทำบารมีให้เกิดมากมาย หลายท่านสืบมาได้เป็นครูผู้ฝึกพุทธบริษัท และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ โดยเริ่มตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม จนถึงพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ คือ พระกกุสันโธพระพุทธเจ้า พระโกนคมโนพระพุทธเจ้า พระกัสสโปพระพุทธเจ้า และพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าในปัจจุบันที่พระองค์ทรงฝึกเหล่าสาวกสาวิกาทั้งหลายให้มีบารมีมีคุณวิเศษ และธรรมวิเศษที่จะยังให้สรรพสัตว์ได้หลุดพ้นห่วงแห่งวัฏสงสาร จึงสมควรที่ชนทั้งหลายจะร่วมใจกันพึงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการระลึกในพุทธคุณนี้อานิสงส์นั้นหาประมาณได้ ยังผลให้ไปถึงธรรมคุณ และสังฆคุณ