กำแพงไม่อาจกั้น

กลับมาแล้วครับ หลังจากไม่ได้เขียนมานานถึง 2 ปี อารมณ์ได้ในวันวิสาขบูชา 57 วันนี้ก็จะคุยเรื่องที่ติดค้างไว้ก็คือ การดูกำแพง
               กำแพงหรือผนังบ้านเรานี่แหละครับง่ายๆสำหรับคนมีอารมณ์ประเภทเหม่อลอย ครั้งก่อนเคยพูดเรื่องการดูท้องฟ้าไปแล้วน่าจะยังจำกันได้ วันนี้ก็จะมาคุยเรื่องการดูกำแพงกันต่อ ค่อยไปดูก้อนหิน ดูอากาศ ดูพระอาทิตย์  น่าสนใจทั้งนั้นแต่ผมก็ยังคงพูดเหมือนเดินคือเป็นการแนะนำสำหรับคนที่ขี้เกียจ โลเล เหม่อลอย ทำน้อยให้ได้มาก พวกที่ทำมากก็ให้ได้มากยิ่งๆขึ้นไป   เพื่อเป็นกำลังใจไม่ให้ท้อถอย ท้อแท้ในการปฏิบัติ แล้วความแตกต่างกันระหว่างการมองท้องฟ้า กับการมองกำแพงต่างกันไหม ก็ขอตอบว่า ต่างกันแต่ไม่มาก คือ มองท้องฟ้าเราก็ไม่ต้องเน้นอะไร สว่าง ยังไงก็ตามนั้นแต่มันก็มีข้อสังเกตุถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นวันที่อากาศดี มีเมฆเป็นกลุ่มก้อน ไม่ใช่กระจัดกระจาย ลมไม่พัดแรงจนเกินไปถึงจะจับจุดจับจังหวะของเมฆได้ ส่วนการดูกำแพงถ้าจะให้ดีแสงสว่างไม่ควรมากเกินไป สำหรับผมนะ ความจริงแสงตามธรรมชาติก็ได้ แต่ผมชอบแสงในห้องมากกว่าไม่จ้าจนเกินไป แล้วกำแพงต้องเลือกไหม ก็ทั่วไปครับไม่ต้องหากำแพงเรียบ หรือสวยงามอะไร ที่ดีควรเป็นธรรมชาติของมันคือขรุขระตามธรรมดาทั่วๆไปแหละ ถ้าทำบ่อยๆจะเริ่มเข้าใจว่าตรงจุดไหนของกำแพงน่ามองสุด ได้ผลสุด  ส่วนระยะการมองก็ลองปรับๆดูครับ เริ่มต้นอาจเป็นยื่นแขนกำหมัดชนกำแพงก็เป็นระยะที่ดีครับ แล้วสีละ จะให้ดีก็สีขาวนี่แหละครับดี สีอื่นๆก็เป็นรองอยู่หน่อย เอาง่ายๆก็บ้านเราเป็นอย่างไรก็ดูแบบนั้นแหละครับดีไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องไปทำสี ทำแสงอะไรให้มันวุ่นวาย ธรรมชาติให้เราอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่าเราถูกจริตกับสถานที่นี้ สีนี้ แสงนี้ ทำๆไปถึงเวลาเปลี่ยนมันก็จะต้องเปลี่ยนเอง สถานที่ สถานะ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมัน ซึ่งเราต้องเริ่มทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะดีไปเอง
                 พอเราหาสถานที่กำแพงที่เราว่าใช้ได้แล้วก็ดูได้เลย เหมือนเดิมครับดูไปเรื่อยๆ แต่เอาจุดเดียวนะไม่ใหญ่ไม่เล็ก ดูจากภาพรวมๆแล้วค่อยๆแคบเข้ามา ดูได้สักระยะมันจะเริ่มเห็นเป็นรูปนั้นนี้จากจุด หลุม ความนูนของกำแพง ก็ดูไปเรื่อยๆ ทีนี้มันก็จะเปลี่ยนรูปไปอีกเราก็ดูไปแต่บางทีมันก็เป็นแค่จุดสว่าง ก็ใช้ได้ดีหมด ไม่มีผิดถูกนะ เป็นจุดก็ดี เป็นรูปก็ดี ใช้ได้หมด เป็นจุดแสงก็ง่ายหน่อยก็มองไป เป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ก็มองไป ดูไป จนบางทีกลายมาเป็นรูปเทพ มาเป็นรูปพระ แต่ถ้าเป็นพระแล้วเราก็คงความเป็นพระไว้หรือว่ามันกลายเป็นจุดแสงเราก็ดูจุดแสงก็ได้ ดีหมด
                คุยเป็นหลักการหน่อยดีกว่าเดี๋ยวจะว่ามาบอกกันมัวๆไป คือถ้าเป็นรูปพระพุทธเจ้านี้ก็เท่ากับเรามีพระเป็นกำลังใจในการปฏิบัติ มีคำพูดอยู่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต" นี่ก็เป็นหลักฐานในธรรมที่เราได้ทำ ได้ปฏิบัตินะง่ายกว่าการทำ ของวิชา ธรรมกาย ง่ายกว่า มโนมยิธธิ แต่ยังเอาไปใช้อะไรยังไม่ได้มากเท่านั้น จะให้เกิดฤทธิ์ อำนาจนั้นต้องทำจนช่ำชอง ชำนาญ ถึงจะนำมาใช้ได้ ที่บอกเป็นแต่เพียงก้าวเริ่มต้นของการปฏิบัติแล้วเห็นผลได้ จะได้มีกำลังใจสำหรับพวกขี้เกียจ เหม่อลอยทั้งหลาย ธรรมมะไม่เลือกข้าง ไม่เลิกคน แต่ละคนย่อมมีเส้นทางเข้าถึงธรรมได้ แล้วธรรมก็ไม่เลือกศาสนา พุทธ คริส อิสราม หรือลัทธิต่างๆ ก็สามารถเข้าถึงธรรมได้ อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธมาก่อน เป็นชาวลัทธิอื่นๆมาก่อน เมื่อปฏิบัติไปจนสุดทางของลัทธินั้นๆ พระองค์บอกว่ายังไม่ใช่ที่สุดแห่งธรรม พระองค์จึงออกแสวงหา จนได้บรรลุ สำหรับผมคิดว่านะเราทุกคนก็เหมือนพระองค์แหละถึงเวลาทำถึงที่สุดของศาสนาแล้วก็จะได้คำตอบว่า มันสุดทางที่เราต้องการหรือไม่ ถึงตอนนั้นเราก็จะเป็นผู้ที่แสวงหาทางต่อไปเองนั่นแหละ
                 สำหรับบางคนหรือหลายๆคนมองไม่เป็นรูปพระ เทพ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ไม่มีผิดมีถูกในการดูให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ เป็นรูปสัตว์ แบทแมน ก๊อตซีร่า ก็ใช้ได้ ดูความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆครับ ไม่ต้องไปคิดนำนะว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รูปนั้นรูปนี้ บางทีเป็นหน้าผีก็ยังมีเลยที่สำคัญไม่ต้องกลัวนะ มันเป็นจิตหลอกจิตนะ ไม่ใช่ของจริง เป็นจิตใต้สำนึกของเราที่เรากลัว ที่ซ่อนไว้มันออกมาแสดง เราก็แค่ดูๆไปเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เขาเรียกว่าการขจัดความกลัว ความขลาด ความเขลา ในใจ เป็นบันไดให้เราเขาถึงธรรมที่่ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้้นไป
                การปฏิบัติธรรมในขั้นต้นๆ หรือขั้นสูงๆนะ ควรจะสนุกคือสนุกในธรรม รู้ เห็นผลในการปฏิบัติมันก็จะช่วยให้เราก้าวหน้าได้เร็ว ไม่ตึงเครียด ไม่กดดันและที่สำคัญจะทำให้ชีวิตประสบความสุข ความสำเร็จได้ง่าย
                ในการดูกำแพงนี้ไม่ใช่ของที่คิดขึ้นมาใหม่ มีการฝึกทำกันมาก่อนแต่เมื่อใดมานั้นไม่ทราบได้เท่าที่ผมรู้มาก็ในสมัยสมเด็จโตท่านก็เคยสอนลูกศิษย์ พระที่วัดฝึก แต่ตอนผมลองฝึกทำนั้นก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการฝึกการสอนกันมาก่อนก็ลองทำลองปฏิบัติไปตามเรื่องครับ มารู้เอาตอนหลังได้อ่านประวัติสมเด็จโตก็เลยทราบ แต่่ก็ไม่ทราบว่าท่านสอนอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรเพียงเขียนไว้ว่าท่านให้พระ ลูกศิษย์ นั่งหันหน้าเข้าหากำแพง และก็มีการปั้นพระพุทธรูปหันหน้าเข้ากำแพงอีกด้วย เนื้อหาการสอนนี่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมบอกแต่สิ่งที่ผมลองทำเท่านั้น ผิดถูกตรงตามแนวทางสอนของท่านสมเด็จโตหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ แต่เท่าที่ผมลองฝึกทำดูนี่รู้สึกว่ามันง่าย ฝึกง่าย ทำง่าย ที่สำคัญไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการมองพระอาทิตย์ หรือการทำกสินอื่นๆ การฝึกธรรมต่างๆนั้นอยู่ที่การวางอารมณ์เป็นหลักนะ อย่างที่ผมเขียนไว้แค่นั่งนิ่งๆ ดูไปเรื่อยๆ เมื่อยก็เปลี่ยนท่า เหนื่อยก็พัก ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งนั้น แต่ถ้าท่านทั้งหลายอยากสำเร็จก็ต้องขยันหมั่นทำเอา ทางจีน อินเดียก็มีพระทานหนึ่งได้ทำไว้คือ ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ ตามประวัติท่าน ท่านนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงเป็นเวลา 3 ปี ก่อนที่จะออกมาเผยแพร่ธรรม สร้างวัดเส้าหลินจนโด่งดังไปทั่วโลก ปราชญ์เซนทางญี่ปุ่นก็มีการสอนวิธีนี้
               สุดท้ายนี้ก็ขออนุญาตินำวิชาดูกำแพงที่ครูบาอาจารย์และท่านสมเด็จโตเคยสั่งสอน อบรม พระและลูกศิษย์ออกเผยแพร่เป็นวิทยาทานให้ผู้รักธรรมทั้งหลายได้ไปฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ที่ท่านได้คิดได้เคยสั่งสอนอบรมลูกศิษย์ลูกหาไว้เพื่อไม่ให้วิชาดีๆ นี้สูญหาย ลบเลือน ไปจากนักปฏิบัติทั้งหลาย


                           "หันหลังให้กับโลก   หันหน้าเข้าหา กำแพงธรรม"